.....Welcome to my blog.....

Nouns


คำนาม (Nouns)
            คำนาม เป็นสิ่งต่างๆ ทั้งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ที่เป็นของจริงหรือที่เป็นสิ่งที่เราจินตนาการขึ้นมา ที่สามารถมองเห็นหรือไม่สามารถมองเห็นได้ คำนามที่เป็นสิ่งไม่มีชีวิตในภาษาอังกฤษนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้เพศ ไม่มีการแบ่งว่าเป็นเพศหญิงหรือเพศชายเหมือนอย่างในภาษาฝรั่งเศส
            คำนามเฉพาะ (Proper nouns) คือคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของบุคคล สถานที่ มหาสมุทร เรือเดินทะเล ม้าแข่ง ถนน และอื่นๆ คำนามเฉพาะจะขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ (capital letter) ยกเว้นในบางกรณีของชื่อสกุลบางสกุลที่แปลกๆ
            คำนามพหูพจน์ (Plurals)
            คำพหูพจน์ส่วนใหญ่ในภาษาอังกฤษนั้นประกอบด้วยรูปเอกพจน์แล้วเติม s หรือ es ต่อท้าย แต่อย่างไรก็ตามก็มีข้อยกเว้นและกฎการทำให้คำนามเอกพจน์เปลี่ยนเป็นคำนามพหูพจน์มากมาย
            มีบางคนที่ยังรู้สึกสับสนในการเปลี่ยนคำนามเอกพจน์ให้เป็นคำนามพหูพจน์สำหรับคำนามและชื่อที่ลงต่อท้ายด้วย s อย่างเช่น คำนาม lens, iris, gas และคำนามเฉพาะ(ชื่อเฉพาะ) เช่น Jones, Francis และJenkins ความจริงแล้วนั้นง่ายนิดเดียวโดยการเติม –es ต่อท้ายเท่านั้นเอง เช่น “The Jenkines went out to dinner.” ให้ถูกต้องอย่างสมบูรณ์
            ข้อยกเว้นคือ คำว่า means (วิถีทาง) และ news (ข่าว) เราพูดคุยเกี่ยวกับ “this means” และ “these means” ได้ แต่สำหรับคำว่า news นั้นถือว่าเป็นเอกพจน์เสมอ
            คำที่แสดงความเป็นเจ้าของ (Possessives)
            ความเป็นเจ้าของ หรือ “belonging to” ถูกระบุด้วยการเติม “apostrophe s” ในกรณีของเอกพจน์ อย่างเช่น “The horse’s mouth” (ปากของม้า) ถ้าคำนามเฉพาะลงท้ายด้วย s กฎการใช้ apostrophe s ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ตัวอย่างเช่น “Mark Jones’s car” (รถของมาร์ค โจนส์)
            ในกรณีที่เจ้าของมีมากกว่า 1 คน นั้นเราก็จะแสดงความเป็นเจ้าของด้วย apostrophe s เช่น “The girl’s school” (โรงเรียนของพวกเด็กผู้หญิง)
            คำนามหมวดหมู่ (collective nouns) จัดว่าเป็นเอกพจน์และเครื่องหมาย apostrophe( ‘ ) นั้นก็อยู่หน้า s ตัวอย่างเช่น “The children’s toys” และ “The men’s work”
            จาก “One week’s time” นั้นมีความเป็นเจ้าของอยู่โดยนัย ความหมายของวลีนี้คือ ความยาวของช่วงเวลาเป็นของ 1 สัปดาห์ คล้ายๆกันกับ “Tomorrow weather” และ “In two weeks’ time” หรือ “A hundred years’ time” แต่ต้องจำไว้เสมอว่า จะไม่ใช่ apostrophe ถ้าเราละคำว่า “time” และจะเป็นการใช้อย่างง่ายๆเหมือนอย่าง “In two weeks I shall be twenty-one.”
ข้อผิดพลาดในการใช้ apostrophe ที่เราพบกันบ่อยๆนั้นคือ
            เมื่อมีการเขียนเกี่ยวกับบ้านของผู้คน เมื่อคุณพูดว่า “I went to the Johnstones’.” คุณหมายถึงคุณได้ไปที่บ้าน ซึ่งไม่ใช่บ้านของคุณจอห์นสโตน หรือบ้านของคุณนายจอห์นสโตน แต่ว่าเป็นบ้านของครอบครัวจอห์นสโตนหรือของทั้งคุณและคุณนายจอห์นสโตนนั่นเอง ดังนั้น “the Johnstones” นั้นก็เป็นการย่อมาจาก “the Johnstones’ home” นั่นเอง มันจะใช้ได้ง่ายอย่างไม่มีข้อสงสัยในกรณีที่ชื่อของเพื่อนของคุณลงท้ายด้วยอักษร s เช่น “I went to the Joneses’.” หรือ “I went to the lnglises’.”
            ทั้งๆที่การแสดงความเป็นเจ้าของ โดยการใช้เครื่องหมาย apostrophe นั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่ซับซ้อน แต่อย่างไรก็ดีความผิดพลาดก็ปรากฏให้เราเห็นในงานเขียนอยู่เกือบจะทุกวันความผิดพลาดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่แสดงให้เราเห็นถึงความคิดที่คลุมเครือ
            การใช้ที่น่าสนใจของคำที่แสดงความเป็นเจ้าของนั้นอยู่ที่กรณีที่มีการอ้างถึงชื่อของบริษัท ถ้าคุณต้องการที่จะเขียนเพื่อที่จะบอกว่าคุณนั้นซื้อผ้าม่านมาจากที่ใด คุณสามารถพูดว่า “I bought my curtains at Smith’s.” หรือ “…at Smiths’.” หมายความว่า “Smith’s shop” หรือ “Smiths’ shop” นั่นคือ ร้านผ้าม่านของคุณสมิธหรือร้านผ้าม่านของครอบครัวสมิธตามลำดับ ถ้าบริษัทนั้นดำเนินธุรกิจโดยคนคนเดียวที่มีชื่อว่านายสมิธการใช้ที่ถูกต้องก็จะต้องเป็น “Smith’s” แต่ถ้าบริษัทนั้นใหญ่พอที่ถูกดำเนินกิจการโดยสมาชิกหลายคนในครอบครัวสมิธแล้ว เราจะใช้ว่า “Smiths” ถ้าคุณไม่รู้ว่ามีสมาชิกในครอบครัวสมิธดำเนินงานอยู่กี่คนหรือบริษัทนั้นใหญ่โตเพียงใดเพื่อความปลอดภัยคุณควรจะใช้ “Smith’s”
            บางบริษัทและองการเรียกตังเองด้วยการใช้รูปแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น “Sainsbury’s” และตัวอย่างที่ละเครื่องหมาย apostrophe ไป “Lloyds Bank Plc”




ขอบคุณข้อมูลจาก
ฐิติ นิติอนันตกูล.  ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษฉบับมาตรฐาน.  กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์รามาการพิมพ์, 2550



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น