คำวิเศษณ์ คือ คำที่ใช้ขยายคำคุณศัพท์เหมือนอย่างเช่นคำคุณศัพท์ใช้ขยายคำนาม
ดังนั้นในขณะที่คำกริยาบอกเราเกี่ยวกับการกระทำของสิ่งหนึ่ง
คำวิเศษณ์ก็จะบอกกับเราว่าทำสิ่งนั้นๆอย่างไร คำวิเศษณ์ส่วนใหญ่จะมาจากคำคุณศัพท์
โดยมี suffix (-ly) ต่อท้าย
อย่างเช่น quickly, cleverly, cautiously, willingly
คำวิเศษณ์ไม่ได้ลงท้ายด้วย –ly ทุกคำ
แล้วคำวิเศษณ์จะเป็นคำวิเศษณ์ในตัวเองได้อย่างไร อย่างเช่นคำว่า well ในประโยค “He does it well.” Fast และ hard เป็นตัวอย่างคำที่โดยบังเอิญสามารถเป็นได้ทั้งคำวิเศษณ์และคำคุณศัพท์
ในประโยคคำสั่งสั้นๆ
“Run fast” fast ในที่นี้เป็นคำวิเศษณ์ คือ
ขยายอากัปกิริยาวิ่ง โดยที่วิ่งอย่างไรล่ะ ก็วิ่งอย่างเร็ว และถ้าเราพูดว่า “We
had a fast run.” fast ในประโยคนี้เป็นคำคุณศัพท์ขยายคำนาม
“a run” คือ การวิ่งที่เร็ว ในกรณีของ hard ก็คล้ายๆกับ “Hit him hard” เป็นคำวิเศษณ์ คือ
ตีอย่างแรง แต่จะทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ใน “I took a hard knock.” คือ ขยายคำนาม “a knock”
คำวิเศษณ์
hardly มีความหมายที่แตกต่างไปจากคำวิเศษณ์
hard โดยที่ hardly นั้นให้ความหมายเหมือนกับ
“scarcely” , “nearby” , “not quite” นั่นคือ แทบจะไม่
เกือบจะ เพิ่งจะ และในภาษาโบราณที่ใช้ในอดีต hard จะให้ความหมายว่า
“near” คือ ใกล้ ตัวอย่างการใช้ เช่นในประโยค “He
lives hard by the church.” เขาอาศัยอยู่ใกล้กับโบสถ์
ซึ่งเคยใช้กันโดยทั่วไปในอดีต
มีบางคำที่ถูกจัดไว้อยู่ในกลุ่มคำวิเศษณ์เพราะว่าคำเหล่านั้นมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับคำวิเศษณ์มากกว่าคำประเภทอื่น
ตัวอย่างคำเหล่านั้นคือ where, there, whatever และ however จากประโยค “You put it there.” There เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำกริยา
put
คำวิเศษณ์นั้นยังสามมารถใช้ขยายคำคุณศัพท์ได้ด้วย อย่างเช่น
“You
are extremely kind.”
extremely
เป็นคำวิเศษณ์มาขยายคำว่า kind ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์
“It
is a ridiculously simple problem.”
ridiculously
เป็นคำวิเศษณ์มาขยายคำว่า simple ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์
นอกจากนี้คำวิเศษณ์ก็ทำหน้าที่ขยายคำวิเศษณ์ด้วยกันเองได้ด้วย
ตัวอย่างเช่น
“He did it remarkably quickly.”
Remarkably เป็นคำวิเศษณ์มาขยายคำว่า
quickly ซึ่งเป็นคำวิเศษณ์
ขอบคุณข้อมูลจาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น